เจาะลึกเทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลภาครัฐ ที่หน่วยงานภาครัฐทั่วโลกเลือกใช้

ในยุคที่ข้อมูลเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศ หน่วยงานภาครัฐทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดการข้อมูลที่มีจำนวนมหาศาลและมีความซับซ้อนสูง จึงต้องการระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และมีความเสถียรมารองรับนอกจากนี้ เทคโนโลยีด้านการจัดการข้อมูลก็มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) การประมวลผลบนคลาวด์ เทคโนโลยีบล็อกเชน รวมทั้งการประยุกต์ใช้ AI และ Big Data เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ในขณะที่เทคโนโลยีเหล่านี้พัฒนาอย่างรวดเร็ว มาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์สำหรับการใช้ระบบคลาวด์ก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มการรักษาความลับและความถูกต้องของข้อมูลภาครัฐให้สูงขึ้นตามไปด้วย การเลือกใช้เทคโนโลยีฐานข้อมูลที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการพัฒนาระบบราชการเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศในยุคดิจิทัล

ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เสาหลักของงานภาครัฐ

ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) คือ ระบบจัดเก็บ และจัดการข้อมูลที่แบ่งข้อมูลออกเป็นชุดตารางที่มีความสัมพันธ์กัน ข้อมูลแต่ละประเภทจะถูกจัดเก็บแยกกันในตารางต่าง  ๆ แล้วเชื่อมโยงกันด้วยข้อมูลหลัก เช่น รหัสประจำตัว หรือรหัสอ้างอิงเฉพาะ

 

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลในระบบทะเบียนราษฎร์ที่ถูกจัดเก็บแยกกันในแต่ละตาราง โดย ข้อมูลหลักของประชาชน (ชื่อ-นามสกุล วันเกิด ฯลฯ) จะถูกเก็บในตารางหนึ่ง ข้อมูลที่อยู่ก็จะถูกเก็บในอีกตารางหนึ่ง และข้อมูลประวัติการศึกษาอยู่อีกตารางหนึ่ง โดยทุกตารางเชื่อมโยงกันด้วยเลขประจำตัวประชาชน วิธีนี้ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล และทำให้การอัปเดตข้อมูลทำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น

จุดเด่นของระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ที่ทำให้เหมาะกับงานภาครัฐ

  1. รองรับการค้นหาข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว
  2. มีกลไกป้องกันความผิดพลาดและรักษาความถูกต้องของข้อมูล
  3. มีระบบความปลอดภัยที่ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้หลายระดับ
  4. รองรับการทำงานพร้อมกันของผู้ใช้หลายพันคนโดยไม่เกิดปัญหา
  5. มีความเสถียร สามารถทำงานต่อเนื่องได้แม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ปัจจุบันระบบฐานข้อมูลที่ภาครัฐทั่วโลกส่วนใหญ่เลือกใช้คือ บริการ Oracle Database ซึ่งมีจุดเด่นด้านความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์งานภาครัฐที่ต้องการความมั่นคงปลอดภัยและความต่อเนื่องในการให้บริการ นอกจากนี้ ยังมีระบบฐานข้อมูลอื่น ๆ เช่น MySQL, Microsoft SQL Server และ PostgreSQL โดยแต่ละระบบมีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของการใช้งาน

เจาะลึกเทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลภาครัฐ ที่หน่วยงานภาครัฐทั่วโลกเลือกใช้
การปฏิวัติระบบฐานข้อมูลภาครัฐด้วยเทคโนโลยีคลาวด์

แนวทาง “Cloud-First” หรือการเลือกใช้บริการคลาวด์ก่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอง เป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับในหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก ด้วยเหตุผลหลักคือ ความคุ้มค่า ความยืดหยุ่น และความเร็วในการปรับใช้งาน เมื่อต้องมีการการย้ายระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้นคลาวด์ (Cloud Databases) Cloud-First ยิ่งเป็นทางเลือกสำคัญในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีของรัฐบาล

 

ความสำเร็จของการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาครัฐ จะเห็นได้ชัดจากรัฐบาลในหลายประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานระดับชาติอย่างกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (DoD), องค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA) และองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซ่า (NASA) ได้นำฐานข้อมูลโอเพนซอร์สอย่าง PostgreSQL ไปใช้ และสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านไอทีลงได้ถึง 80% โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของระบบ

 

ส่วนในยุโรป รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้พัฒนาโครงการ G-Cloud ให้หน่วยงานรัฐสามารถจัดซื้อบริการคลาวด์ได้รวดเร็วและช่วยลดการทำงานซ้ำซ้อน

 

นอกจากนี้ จากรายงานของ Deloitte คาดว่า การลงทุนระบบคลาวด์ของภาครัฐทั่วโลกกำลังพุ่งสูงขึ้น โดยเพิ่มจาก 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 7 หมื่นล้านในปี 2025 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า คลาวด์จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาบริการภาครัฐ ทั้งด้านข้อมูล บริการออนไลน์ และการรับมือเหตุฉุกเฉิน

 

จะเห็นได้ว่า Oracle Database ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลทั่วโลกมาอย่างยาวนาน และถูกใช้งานโดยรัฐบาลหลายประเทศเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญของชาติ โดย Oracle นำเสนอโซลูชัน Oracle Cloud at Customer ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับหน่วยงานรัฐ ทำให้หน่วยงานภาครัฐสามารถให้บริการประชาชนได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงในการรักษาข้อมูลสำคัญ

เจาะลึกเทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลภาครัฐ ที่หน่วยงานภาครัฐทั่วโลกเลือกใช้
ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูลบนคลาวด์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ

การย้ายฐานข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์แบบดั้งเดิมไปสู่ระบบคลาวด์ จะนำมาซึ่งประโยชน์มากมายที่ตอบโจทย์ความท้าทายในยุคปัจจุบัน คือ

  1. ความยืดหยุ่นในการปรับขนาด (Scalability) หน่วยงานรัฐสามารถเพิ่มหรือลดขนาดของฐานข้อมูลได้ตามความต้องการ ทำให้รองรับการใช้งานในช่วงที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เช่น ช่วงการยื่นภาษี หรือการลงทะเบียนโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่จะถูกใช้งานเต็มประสิทธิภาพเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้น
  2. ประหยัดค่าใช้จ่าย (Cost Efficiency) การจ่ายค่าบริการตามการใช้งานจริง (Pay-as-you-go) ช่วยลดงบประมาณด้านไอทีและการบำรุงรักษาระบบ ทำให้หน่วยงานรัฐสามารถนำงบประมาณไปใช้ในภารกิจสำคัญอื่น ๆ ได้มากขึ้น
  3. ความต่อเนื่องของบริการ (Business Continuity) ระบบคลาวด์มีการออกแบบให้มีความเสถียรสูง มีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ และระบบกู้คืนข้อมูลที่ทันสมัย ช่วยให้บริการภาครัฐดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องแม้ในยามวิกฤต
  4. ความปลอดภัยระดับสูง (Enhanced Security) ผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำมีการลงทุนด้านความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่าที่หน่วยงานรัฐส่วนใหญ่จะทำเองได้ ทั้งยังมีการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและมีการรับรองในระดับสากล
  5. นวัตกรรมต่อเนื่อง (Continuous Innovation) การใช้บริการคลาวด์ทำให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ง่ายขึ้น เช่น ระบบฐานข้อมูลอัตโนมัติ (Autonomous Database) ปัญญาประดิษฐ์ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
ความท้าทายและการรักษาความมั่นคงปลอดภัย

แม้ว่าการใช้คลาวด์จะมีประโยชน์มาก แต่หน่วยงานภาครัฐยังต้องพิจารณาประเด็นด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูลอย่างรอบคอบ สำหรับประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้กำหนดมาตรฐานการใช้คลาวด์ด้วยการออกประกาศ เรื่อง มาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระบบคลาวด์. พ.ศ. 2567 ส่งผลให้ผู้ให้บริการคลาวด์ที่จะให้บริการแก่หน่วยงานรัฐต้องมีศูนย์ข้อมูลในประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และเพื่อให้รัฐบาลสามารถสามารถรักษาอธิปไตยของข้อมูล ทำให้สามารถควบคุมและปกป้องข้อมูลของชาติได้

เจาะลึกเทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลภาครัฐ ที่หน่วยงานภาครัฐทั่วโลกเลือกใช้
บทสรุป อนาคตของระบบฐานข้อมูลภาครัฐไทย

รัฐบาลไทยมีแผนปฏิรูประบบราชการและองค์กรให้เป็นระบบที่ทันสมัยมากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับขนาดองค์กร สร้างความโปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ ซึ่งสอดคล้องกับความสำเร็จล่าสุดที่รัฐบาลไทยได้ก้าวขึ้นสู่อันดับ 52 ของโลก และครองอันดับ 2 ในอาเซียน ในดัชนีการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGDI) ปี 2024

การยกระดับระบบฐานข้อมูลภาครัฐไปสู่บริการคลาวด์ที่มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพสูง และมั่นคงปลอดภัย จึงเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของหน่วยงานภาครัฐในปีนี้ บริการ คลาวด์ที่มีศูนย์ข้อมูลในประเทศ และรองรับมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จึงเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการพัฒนาบริการดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ การปฏิบัติตามข้อบังคับของภาครัฐ และการรักษาความต่อเนื่องของบริการสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล และมุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลชั้นนำระดับสากลในระดับท็อป 40 ของโลก ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. 2568-2570 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

วันที่เผยแพร่ 27 พฤษภาคม 2568

แหล่งอ้างอิง

AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : [email protected]
Website : https://www.ais.th/business