ทุกวันนี้การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วแตะจอสมาร์ตโฟน ซึ่งเป็นผลจากพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของอุตสาหกรรมการเงินอย่างรวดเร็ว ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ จึงไม่เพียงแต่ต้องรองรับปริมาณธุรกรรมดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลและการกำกับดูแลภายในประเทศอย่างเคร่งครัดอีกด้วย
ในโลกการเงินดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้งนี้ สถาบันการเงินไทยกำลังเผชิญ กับความท้าทายในการรองรับปริมาณธุรกรรมดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ปริมาณการใช้ Mobile Banking พุ่งสูงขึ้น 10.9 % ในปี 2023 พร้อมยอดธุรกรรมมากกว่า 29.55 ล้านรายการต่อปี จากกว่า 107 ล้านบัญชี แต่ความท้าทายที่แท้จริงไม่ได้อยู่เพียงตัวเลขเท่านั้น หากแต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีกับความปลอดภัยของข้อมูล ด้วยความท้าทายนี้ชี้ให้เห็นว่าภาคการเงินของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัว Sovereign Cloud หรือบริการคลาวด์ที่คำนึงถึงอธิปไตยของข้อมูล จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนอง ข้อกำหนดของสถาบันการเงิน ในการมีระบบคลาวด์ที่ไม่เพียงแต่ทันสมัยและปลอดภัย แต่ยังสอดคล้องกับกฎหมายและนโยบายการกำกับดูแลของประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์
Sovereign Cloud คือ บริการคลาวด์ที่ออกแบบมาเพื่อจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลภายในเขตอำนาจศาลของประเทศ โดยการดำเนินการดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และการกำกับดูแลของประเทศนั้น ๆ เท่านั้น หากเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ Sovereign Cloud เปรียบเสมือนการเก็บของสำคัญไว้ที่บ้านของคุณเอง แทนที่จะฝากไว้ที่บ้านคนอื่น ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าของสำคัญของคุณจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างปลอดภัยในบ้านตัวเอง และไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมายุ่งกับของสิ่งนั้นได้ ดังนั้น สิ่งที่ทำให้ Sovereign Cloud แตกต่างจากคลาวด์ทั่วไปคือการรับประกันว่าข้อมูลที่ถูกจัดเก็บจะไม่ถูกส่งไปยังประเทศอื่น และไม่อยู่ภายใต้กฎหมายต่างชาติที่อาจส่งผลกระทบต่อความลับของข้อมูล
หากกล่าวถึง Sovereign Cloud ในบริบทของภาคการเงินไทย จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล แต่เป็นเรื่องของการสร้างความไว้วางใจ และการกำกับดูแลโดยกฎหมายของรัฐอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นหมายถึงการให้บริการด้านข้อมูลของสถาบันการเงินจะถูกปกป้องอย่างเข้มงวดภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย สำหรับธนาคารและลูกค้า Sovereign Cloud จึงเปรียบเสมือนการมี “บ้านของตัวเอง” ในการจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกเรียกดูข้อมูลหรือการแทรกแซงโดยหน่วยงานต่างชาติ
Sovereign Cloud จะช่วยให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินไทยสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย โดยรักษาสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งมีแง่มุมที่น่าสนใจ ดังนี้
ระบบ Sovereign Cloud ที่ออกแบบมาอย่างดี จะมีเครื่องมือที่ช่วยให้ Mobile banking ของธนาคารและสถาบันการเงินจัดการนโยบายการเก็บรักษาและการโอนย้ายข้อมูลตามกรอบการโอนข้อมูลข้ามประเทศได้อย่างอัตโนมัติ เช่น ป้องกันการส่งข้อมูลไปเซิร์ฟเวอร์ในประเทศที่ไม่ได้รับการรับรอง เป็นต้น นอกจากนี้ Sovereign Cloud ยังช่วยให้การตรวจสอบและรายงานการปฏิบัติตามกฎหมายทำได้ง่ายขึ้น เพราะมีการบันทึกกิจกรรมทั้งหมดไว้อย่างเป็นระบบ และผู้ตรวจสอบสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ทันทีเมื่อต้องการตรวจสอบ
ภาคการเงินไทยกำลังก้าวผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ดังเห็นได้จากการเติบโตของบริการ Mobile Banking และ e-Payment ที่ขยายตัวเป็นวงกว้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งการสนับสนุนของภาครัฐในการออกใบอนุญาต ธนาคารดิจิทัล (Virtual Bank) รายใหม่ๆ ในปี 2025 ได้เปิดทางให้ผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาแข่งขันนำเสนอบริการการเงินออนไลน์ หรือที่ “เกิดขึ้นบนคลาวด์” ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิมต้องเร่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของตนเองเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยหลายธนาคารเริ่มศึกษาแนวทางการใช้คลาวด์ในรูปแบบต่าง ๆ ระหว่างศูนย์ข้อมูลภายในของธนาคาร กับบริการคลาวด์ภายนอก เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และความคล่องตัวในการพัฒนาบริการใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลัก ของธนาคารไทยในการใช้คลาวด์คือการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้านความมั่นคงและการคุ้มครองข้อมูลที่เข้มงวด ดังที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยกำหนดให้การนำระบบคลาวด์มาใช้ถือเป็นหนึ่งในประเภทของ “การจ้างงานภายนอกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ” ที่ธนาคารต้องจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการธนาคาร (board oversight) และต้องแจ้งหรือขออนุญาตต่อ ธปท. ปัจจุบันแม้ ธปท. และหน่วยงานกำกับอื่นๆ จะผ่อนคลายหลักเกณฑ์ให้เอื้อต่อการใช้คลาวด์มากขึ้น เช่น ไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้าทุกครั้ง หากใช้บริการคลาวด์ในบางประเภทงาน แต่ก็ยังคงเน้นย้ำว่าสถาบันการเงินต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงและมีมาตรการควบคุมดูแบผู้ให้บริการคลาวด์อย่างเหมาะสม
ปรากฏการณ์ Sovereign Cloud จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับภาคการเงิน รัฐบาลและองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลกที่หันมาให้ความสำคัญของการควบคุมข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของตนเอง เพื่อป้องกันการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติมากเกินไป และลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดย IDC คาดการณ์ว่าการลงทุนบน Sovereign Cloud ทั่วโลกจะเติบโตจาก 133 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 เป็น 259 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2027 โดยมีอุตสาหกรรมที่ถูกกำกับดูแลอย่างเข้มงวด อย่างสถาบันการเงินเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตนี้
ตัวอย่างเทรนด์การใช้แนวคิด Sovereign Cloud เช่น สหภาพยุโรป ได้พัฒนาโครงการ GAIA-X เพื่อสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี โดยลดการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์จากสหรัฐอเมริกา และจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ใช้ Sovereign Cloud ร่วมกับ AI เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินโดยไม่ละเมิดกฎหมายท้องถิ่น ออสเตรเลีย กำหนดนโยบาย “Digital Sovereignty Strategy” เพื่อกำหนดให้ข้อมูลสำคัญต้องเก็บไว้ภายในประเทศ และสิงคโปร์ ได้ปรับใช้แนวคิด “Trusted Cloud” สำหรับภาครัฐและสถาบันการเงินเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานต่างชาติ
นอกจากนี้ จากการสำรวจแนวโน้มปี 2025 ของ IDC พบว่า 40% ขององค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลกจะกำหนดให้ผู้ให้บริการคลาวด์ต้องมีมาตรการรองรับ Data Sovereignty ก่อนที่จะตกลงใช้บริการ นี่แสดงให้เห็นว่ากระแส Sovereign Cloud ไม่ใช่เพียงการตามเทรนด์ แต่เป็นการตอบสนองความจำเป็นที่เพิ่มขึ้นสำหรับการปกป้องข้อมูลและสร้างความมั่นใจในการจัดเก็บข้อมูล
สถาบันการเงินไทยในปัจจุบันต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจากหลายด้าน ทั้งคู่แข่งรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนอย่าง Virtual Banks ความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการบริการที่สะดวก รวดเร็ว ตลอด 24 ชั่วโมง และข้อกำหนดของรัฐในการปกป้องข้อมูลที่เข้มงวดมากขึ้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้ สถาบันการเงินไทยจึงจำเป็นต้องมองหาโซลูชันคลาวด์ที่ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกรวดเร็วและการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ไปพร้อมกัน Sovereign Cloud จึงกลายเป็นทางเลือกที่สำคัญที่จะช่วยให้สถาบันการเงินไทยสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล หากต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Sovereign Cloud อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองการใช้งาน Mobile Banking และการทำธุรกรรมทางการเงิน ให้ปลอดภัย ควบคู่กับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ผู้บริหารสามารถพิจารณาข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ต่อไปนี้ในการวางแผน และดำเนินโครงการ Sovereign Cloud ภายในองค์กร ดังนี้
Sovereign Cloud ไม่ใช่แค่การอัปเกรดเทคโนโลยี แต่เป็นการวางรากฐานของระบบนิเวศให้สถาบันการเงิน และบริการดิจิทัล ที่ทันสมัยและไว้วางใจได้ ในยุคที่การแข่งขันทางการเงินเข้าสู่มิติใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ธนาคารที่เลือกใช้ Sovereign Cloud จะได้เปรียบในการพัฒนานวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าและปฏิบัติตามกฎหมายภายในได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ถึงเวลาแล้วในการเปลี่ยนผ่านสู่ Sovereign Cloud ซึ่งต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบ เริ่มตั้งแต่การแบ่งประเภทข้อมูล การเลือกพันธมิตรที่เหมาะสม การออกแบบระบบที่ยืดหยุ่น ไปจนถึงการพัฒนาทีมงานและระบบกำกับดูแล ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้จะนำสู่ความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่า ความมั่นใจในการปกป้องข้อมูล และความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต
สำหรับภาคการเงินที่ต้องการก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน การเลือกใช้โซลูชันคลาวด์ที่ผสานความปลอดภัย ความยืดหยุ่น และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ ด้วย AIS Cloud Powered by Oracle Cloud Infrastructure โครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ในไทย ที่เป็น Thai Hyperscale Cloud แห่งแรกให้บริการโดยองค์กรภายใต้กฎหมายไทยที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งการตอบสนองที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ AIS Business พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนสถาบันการเงินไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างปลอดภัยและมั่นคง
วันที่เผยแพร่ 27 กรกฏาคม 2568
แหล่งอ้างอิง:
AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"
ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : [email protected]
Website : https://www.ais.th/business
© 2024 Advanced Info Service PLC. All rights reserved.