การให้บริการแบบ One-Size-Fits-All กำลังกลายเป็นเรื่องล้าสมัย เรื่องนี้สามารถยืนยันได้ตั้งแต่ Netflix ที่แนะนำหนังตามรสนิยมส่วนตัว Amazon ที่รู้ว่าลูกค้าต้องการซื้ออะไร ไปจนถึง Spotify ที่คัดเลือกเพลงให้เหมาะกับอารมณ์ในแต่ละช่วงเวลา ทุกธุรกิจกำลังแข่งขันกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละคน แม้กระทั่งในธุรกิจการเงินอย่างธนาคารก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ลูกค้าของธนาคารในปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงแค่บัญชีเงินฝากหรือสินเชื่อธรรมดา แต่ต้องการบริการที่เข้าใจว่าพวกเขาเป็นใคร มีเป้าหมายทางการเงินอะไร ลูกค้าคาดหวังว่าธนาคารจะสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในเวลาที่ใช่ และช่วยให้พวกเขาตัดสินใจทางการเงินได้อย่างชาญฉลาด
เพื่อการออกแบบบริการเฉพาะบุคคลได้ตามที่ลูกค้าต้องการ ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งในปัจจุบันจึงหันมาใช้ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ประวัติธุรกรรม และรูปแบบการใช้บริการของลูกค้าแต่ละคน นอกจากนี้ ระบบปัญญาประดิษฐ์สมัยใหม่อย่าง Retrieval-Augmented Generation (RAG) หรือ “ระบบปัญญาประดิษฐ์แบบดึงข้อมูลมาช่วยสร้างคำตอบ” ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการให้บริการลูกค้า เทคโนโลยีนี้จะวิเคราะห์การค้นหาข้อมูลของลูกค้า และสามารถสนทนาหรือให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด เปรียบเสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้จักประวัติทางการเงินของลูกค้าแต่ละคนเป็นอย่างดี
ระบบเหล่านี้สามารถผสานข้อมูลล่าสุดของลูกค้าเข้ากับความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) เพื่อให้คำแนะนำทางการเงินที่แม่นยำและตรงเวลา ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนการใช้จ่ายผิดปกติ การแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะสม หรือการตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ สิ่งที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า แต่ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงให้กับธนาคารอีกด้วย
แต่ก่อนที่จะสร้างบริการเฉพาะบุคคลได้นั้น ธนาคารต้องมีข้อมูลและการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ประวัติธุรกรรม รูปแบบการใช้บริการ และความชอบของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่อ่อนไหวและมีความสำคัญสูงมาก หากเกิดการรั่วไหลอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งลูกค้าและความน่าเชื่อถือของธนาคารเอง ธนาคารจึงจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และสามารถผสานโมเดลปัญญาประดิษฐ์เข้ากับระบบงานได้อย่างราบรื่น ขณะเดียวกันระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลก็ต้องมีความปลอดภัยระดับสูงสุด น่าเชื่อถือ และสามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งยังต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
Sovereign Cloud ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาและความท้าทายตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น โดย Sovereign Cloud คือสภาพแวดล้อมคลาวด์ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้ข้อมูลและการประมวลผลอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายในประเทศ โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บและประมวลผลภายในเขตอำนาจศาลที่กำหนด ไม่ถูกส่งออกไปยังประเทศอื่น
การใช้ Sovereign Cloud ในธนาคารไทย ข้อมูลลูกค้าจะถูกเก็บและประมวลผลภายในประเทศไทยเท่านั้น ภายใต้การควบคุมของกฎหมายไทย ซึ่งช่วยให้ธนาคารสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์ขั้นสูงในการออกแบบบริการเฉพาะบุคคล ขณะเดียวกันก็สามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลลูกค้าจะได้รับการปกป้องตามมาตรฐานสูงสุดและสอดคล้องกับกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ Sovereign Cloud ยังมีข้อดีคือ มีทรัพยากรประมวลผลและการจัดเก็บที่ยืดหยุ่น ขยายขนาดได้ตามต้องการ พร้อมเครื่องมือและบริการด้านข้อมูลและ AI ที่พร้อมใช้งานแบบครบวงจร เช่น แพลตฟอร์มสำหรับพัฒนา ML ระบบฐานข้อมูลอัจฉริยะที่สามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลออกจากที่จัดเก็บ รวมถึงเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงที่ธนาคารสามารถนำมาใช้ได้ทันที และการมี AI Infrastructure ที่มีประสิทธิภาพสูงยังช่วยให้ธนาคารสามารถฝึกสอนโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือประมวลผลงานหนัก ๆ เช่น การทดสอบสถานการณ์ความเสี่ยง และการตรวจจับทุจริต ได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่าอีกด้วย
กรณีศึกษาหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของ Sovereign Cloud ในภาคการเงินมาจาก Nomura Research Institute (NRI) ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทให้บริการทางการเงินขนาดใหญ่ที่ตัดสินใจย้ายระบบบัญชีหลักสำหรับธุรกิจโบรกเกอร์ (ระบบที่จัดการการซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์) ขึ้นมารันบน OCI Dedicated Region ซึ่งเป็นระบบคลาวด์เฉพาะองค์กรที่ติดตั้งในศูนย์ข้อมูลของตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้เกินความคาดหมาย เพราะ NRI สามารถประมวลผลธุรกรรมทางการเงินหลายร้อยล้านรายการต่อวัน ด้วยความเสถียรตลอด 24 ชั่วโมง ในความเร็วแบบเรียลไทม์ตามที่ลูกค้าต้องการ ขณะเดียวกันก็ยังคงการควบคุมข้อมูลและการกำกับดูแลตามข้อกำหนดที่เข้มงวดของประเทศญี่ปุ่นไว้ได้
ไม่เพียงเท่านั้น NRI ยังได้รับผลพลอยได้ซึ่งเป็นประโยชน์จากการใช้คลาวด์ เช่น ฐานข้อมูลประสิทธิภาพสูงที่สามารถจัดการข้อมูลปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว ระบบฐานข้อมูลแบบไร้คนดูแลที่ปรับแต่งตัวเองโดยอัตโนมัติ และแพลตฟอร์มการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ทีมโปรแกรมเมอร์ออกแบบบริการใหม่ให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ประเทศไทยก็มีการให้บริการ Sovereign Cloud เช่นกัน คือ AIS Cloud powered by Oracle Cloud Infrastructure ซึ่งเป็น Thai Hyperscale Cloud แห่งแรกของไทยที่ดำเนินการโดยคนไทยเอง ระบบนี้ให้บริการ Oracle Cloud Infrastructure มากกว่า 100 บริการจากศูนย์ข้อมูลในประเทศ 2 แห่ง และถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองข้อกำหนดด้านอธิปไตยข้อมูลตามกฎหมาย PDPA และพ.ร.บ.ไซเบอร์ พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัด
การเลือกโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบ Sovereign Cloud สำหรับธนาคารในปัจจุบัน จึงไม่ใช่แค่การตัดสินใจด้านเทคนิคอีกต่อไป แต่เป็นการวางกลยุทธ์ที่จะกำหนดว่าธนาคารจะสามารถแข่งขันในตลาดการเงินดิจิทัลได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะในด้านการสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับลูกค้าอย่างปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
สำหรับธนาคารไทย Sovereign Cloud มอบประโยชน์หลายมิติที่ช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในการสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกับความต้องการในการควบคุมข้อมูลและปฏิบัติตามกฎหมายไทย ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญที่ธนาคารต้องเผชิญในการเดินทางสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน โดยประโยชน์ที่จะได้จากการใช้ Sovereign Cloud มีดังนี้
ความต้องการ Sovereign Cloud กำลังเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกตามข้อกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล โดยจากรายงานของ IDC คาดการณ์ว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การใช้จ่ายด้าน Sovereign Cloud ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 31.5% ต่อปี ขณะที่ 19% ขององค์กรมีแผนเพิ่มการลงทุนใน Sovereign Cloud เพื่อรับมือความท้าทายด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance) และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน
สำหรับธนาคารไทย Sovereign Cloud มีรูปแบบการให้บริการที่หลากหลายให้เลือก โดยธนาคารสามารถเลือกพัฒนาและติดตั้งระบบคลาวด์ในศูนย์ข้อมูลของตนเอง หรือเลือกวิธีที่ง่ายกว่าคือการใช้บริการจากผู้ให้บริการ Sovereign Cloud ในประเทศ ทั้งนี้ การเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ จะทำให้ธนาคารจะได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นในการปรับขนาดบริการตามความต้องการ ลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นและค่าบำรุงรักษา รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยข้อมูลของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด และยังสามารถอัปเดตการเข้าถึงเทคโนโลยีและบริการใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาเอง
ในโลกการเงินที่การแข่งขันสูงและความเสี่ยงด้านไซเบอร์เพิ่มขึ้นทุกวัน การมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทั้งเร็ว ยืดหยุ่น ปลอดภัย และน่าเชื่อถือ จะเป็นรากฐานสำคัญให้กับธนาคารไทยก้าวสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน การใช้ Sovereign Cloud ไม่เพียงแค่เปิดทางสู่นวัตกรรม AI และ ML เพื่อสร้างบริการธนาคารดิจิทัลที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลเท่านั้น แต่ยังมอบเกราะคุ้มกันด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้องไปพร้อมกัน ภายใต้การกำกับดูแลที่ดีและความไว้วางใจของลูกค้าในยุคดิจิทัล
สำหรับองค์กรการเงินไทยที่กำลังมองหาพันธมิตรเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารดิจิทัลยุคใหม่ AIS Business พร้อมเป็นที่ปรึกษาและให้บริการ AIS Cloud powered by Oracle Cloud Infrastructure เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์ทางการเงินที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง ด้วยความเชี่ยวชาญในการให้บริการคลาวด์สำหรับภาคการเงินที่ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด
วันที่เผยแพร่ 15 สิงหาคม 2568
แหล่งอ้างอิง
AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"
ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : [email protected]
Website : https://www.ais.th/business
© 2024 Advanced Info Service PLC. All rights reserved.