เปิดมุมมอง Waste to Wealth ฉบับ ‘ซัน - คิว’ สองผู้ประกอบการจาก AIS Infinite SMEs 


จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ AIS Infinite SMEs สู่ภารกิจสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ “ซัน นพรุจ” และ “คิว รุจิภาส” สองพี่น้อง ทายาทธุรกิจจาก TLH AUTOGLASS ได้ใช้เวทีพูดคุยภายในโครงการ Waste to Wealth: Business Model Pitching ที่เปิดให้น้องนักศึกษาส่งไอเดียธุรกิจเข้าประกวดในการต่อยอดธุรกิจจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะพลาสติกให้นำกลับมาสร้างมูลค่าได้ 
นพรุจ ธนภัทรชัยทัต ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง บริษัท ทิพย์สุรัตน์ จำกัด ให้มุมมองถึง การทำธุรกิจเกี่ยวกับความยั่งยืน หลังจากเริ่มธุรกิจสกินแคร์จากดอกทุเรียนหมอนทองรายแรก และรายเดียวของโลก ในแบรนด์ “ดูเรียน่า Durrianar BySQ” ที่ร่วมวิจัยกับทาง สวทช. แล้วพบว่า ดอกทุเรียน คือส่วนที่ดีที่สุด และเป็นส่วนเกินทางการเกษตร ที่ชาวสวนต้องตัดทิ้ง สามารถนำมาต่อยอดเป็นสารสกัดออกมาเป็นสกินแคร์ได้ 
 
“สิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากการทำแบรนด์คือ สกินแคร์ของดูเรียน่าไม่ได้แค่สร้างความต่าง แต่ต้องดีด้วย โดยใช้การสื่อสารเรื่องของการไม่ใช้สารเคมี ให้ความรู้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำด้วย Passion อย่าเพิ่งไปมองถึงเงิน เพราะเมื่อไหร่ที่คิดถึง Sustainability เงินมันจะเป็นสิ่งที่มาทีหลัง ในระยะยาว ถ้าจะมาทำธุรกิจให้รวย เอาเงินไปสั่ง OEM ให้ผลิต ขายสกินแคร์อันนั้น ได้เงินก่อน Sustainability แน่นอน” 
ขณะที่ คิว รุจิภาส ธนภัทรชัยทัต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แต้ล้งฮั้ว (ทีแอลเอช) 95 กรุ๊ป จำกัด ที่รับหน้าที่สานต่อธุรกิจครอบครัว ที่เผชิญความท้าทายในการเปลี่ยนรูปแบบการกำจัดกระจกรถยนต์ที่แตกแล้ว จากธุรกิจหลักของ TLH AUTOGLASS ที่รับติดตั้งฟิล์มกระจกรถยนต์ และอาคารเนื่องจากที่ผ่านมาจะใช้การฝังกลบเป็นหลัก โดยว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมวิจัยและพัฒนา “เครื่องบดกระจกรถยนต์” ที่สามารถนำเศษกระจกกลับไปสู่การผลิตใหม่ เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม 
 
“ความท้าทายที่เกิดขึ้นจากไอเดียนี้คือ การเข้าไปสื่อสารกับคนรุ่นเก่าแก่ที่อยู่กันมานาน เพราะการเปลี่ยนวิธีการทำงานมันไม่ง่าย สิ่งที่ต้องทำคือใช้เหตุผลในการเข้าไปคุยว่าทำแบบเดิมส่งผลเสียต่อโลก วิธีใหม่ดีกับสังคม และโลกยังไง ซึ่งต้องให้เวลา และพยายามเข้าใจพวกเขาด้วย” 
 
คิว ยังเล่าให้ฟังถึงประโยคที่เจอถามกับตัวว่า "ถ้ามันดีจริง ทำไมไม่มีคนอื่นทำ" สิ่งที่ตอบกลับไปคือ "ถ้าไม่มีคนเริ่มวันนี้ มันก็จะไม่มีคนเริ่ม" เพราะรู้ว่ามันคือขยะสารเคมีที่จะส่งผลถึงลูกหลาน ซึ่งถ้าเราไม่เริ่ม ก็จะไม่มีใครเริ่ม 
 
Waste to Wealth ในมุมคนรุ่นใหม่
 
ซัน ได้ให้คำแนะนำแก่น้องๆ นักศึกษาที่เข้าร่วมประกวดในโครงการว่า อยากให้เปลี่ยนนิยามคำว่า “Waste" หรือ "ขยะ" เพราะทำให้มูลค่าต่ำ แต่ให้ใช้คำว่า "ส่วนเกิน" ดีกว่า ซึ่งในการทำ Waste to Wealth หลักๆ แล้วจะประกอบด้วย 3 อย่าง คือการมีนวัตกรรม (Innovation), ความยั่งยืน (Sustainability) และ ธุรกิจ (Business) บนพื้นฐานของการทำด้วยความสุข และ Passion อย่าเพิ่งมองเรื่องเงิน 
 
“ทางที่น้องเดิน มันไม่ใช่ถนนที่มีคนปูไว้ให้ มันคือ ‘ป่า’ ที่น้องต้อง ‘แผ้วถาง’ เข้าไปเอง จงภูมิใจในสิ่งนี้ ถ้าทางมันยาว ไม่ต้องมองไกล ให้มองที่ ‘เท้า’ แล้วเดินไปทีละก้าว เงยหน้ามาอีกที ก็ถึงเส้นชัยแล้ว” 
 
ส่วน คิว เสริมว่า "ขยะ" มันอยู่ที่เรามอง ถ้าเรามองว่ามันคือขยะ มันก็คือขยะ แต่ในมุมนักธุรกิจ ผมเชื่อว่า "ขยะมีมูลค่า" และ "ถ้าเราไม่เริ่ม แล้วใครจะเริ่ม" 
 
นอกจากนี้ ยังให้ข้อมูลเสริมถึงธุรกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือเรื่องของ Carbon Credit เพราะจากที่เริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับรีไซเคิลกระจก หลายๆ องค์กรใหญ่ จะเข้ามาติดต่อเพื่อ ‘ซื้อ’ Carbon Credit จากเรา ด้วยเหตุผลว่า เขา ‘ปลูกต้นไม้ยังไงก็ไม่ทัน’ ทำให้กลายเป็นว่าในอนาคต เทรนด์นี้มาแน่ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องมีการส่งออกไปยังแถบยุโรป ที่มีความเข้มข้นในเรื่องนี้มากๆ 
 
นอกจากการที่ ซัน และคิว เข้าไปพูดคุยเพื่อสร้างไอเดียธุรกิจเพิ่มเติมให้แก่นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการนำเสนอไอเดีย Waste to Wealth Business Model Pitching Contest 2025 ภายใต้แคมเปญ “ทิ้งเทิร์นให้โลกจำ 3” ที่ทาง ‘AIS E-Waste’ ร่วมกับ ‘GC YOUเทิร์น’ จัดขึ้น ทั้ง 2 คน ยังได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในการตัดสินผลงานด้วย 
 
ติดตามอ่านเนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจรุ่นใหม่ ได้ที่ ais.th/infinite-smes