การเติบโตของภาคธุรกิจในอนาคต จะไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขผลประกอบการ หรือกำไรในระยะสั้นอีกต่อไป แต่ถูกกำหนดด้วย “ความยั่งยืน” ที่กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ที่นักลงทุน คู่ค้า และผู้บริโภคทั่วโลกใช้เป็นเกณฑ์ แนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) ไม่ใช่เรื่องขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น เพราะในอีกมุม นับเป็นประตูสู่โอกาส การแข่งขัน และการเติบโตในอนาคตของธุรกิจ SMEs ด้วย
ศุภกร เอกชัยไพบูลย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาบริการด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมในโครงการ Transformative Infinite SMEs ว่า บริบทในการสนับสนุน ESG สำหรับ SMEs ของตลท. คือ ความฉลาดในการทำกำไร ควบคู่ไปกับการนำความเจริญมาสู่ทุกหย่อมหญ้า คือตรรกะใหม่ในการทำธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่า และบริหารความเสี่ยงไปพร้อมกัน
“ESG ไม่ใช่เรื่องของการบริจาคเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่คือ กลไกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร สร้างโอกาสและศักยภาพทางธุรกิจ และยังเป็นกติกาสำคัญสำหรับการค้าระดับโลก”
กฎระเบียบต่าง ๆ ก็เริ่มเข้มข้นขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป หรือ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในประเทศไทย ซึ่งกฎหมายเหล่านี้จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทใหญ่ ๆ เท่านั้น
หาก SMEs เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ที่ต้องส่งออก หรือร่วมงานกับองค์กรที่มีการกำหนดมาตรฐานเหล่านี้ การไม่ปรับตัวตามกฎเหล่านี้อาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสทางการค้า แม้ว่าผู้ประกอบการ SMEs หลายรายจะมองว่า เรื่องนี้ทำแล้วไม่ได้กำไร แต่อยากให้เปลี่ยนมุมมองเป็น ทำแล้วจะสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้แก่ธุรกิจมากมาย
หนึ่งในนั้นคือ การเข้าถึงแหล่งทุน เนื่องจากนักลงทุนและสถาบันการเงินในปัจจุบันใช้ข้อมูล ESG เป็นเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อและการลงทุน กองทุนต่างๆ เช่น ESG Funds, TESG Funds ไปจนถึง Green Loan จากธนาคาร ล้วนมองหาธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันมีสินเชื่อสีเขียวในไทยกว่า 4 แสนล้านบาท และยังต้องการเม็ดเงินอีกมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการที่ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจที่มาของสินค้าและบริการมากขึ้น แบรนด์ที่มีจุดยืนด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนจะสามารถสร้างความแตกต่างและความภักดีจากลูกค้าได้
ESG คือพาสปอร์ต ของ SMEs ยุคใหม่
ในมุมของ ศุภกร มองว่า ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG ไม่ใช่แค่กำลัง "ทำดีเพื่อโลก" แต่กำลังสร้าง "กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ" ที่จับต้องได้
ในมิติของ E (Environment) เรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงต้นทุน แต่เป็นโอกาสในการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด เพราะการลดใช้พลังงานและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ล้วนเชื่อมโยงโดยตรงกับการ ลดต้นทุน และ เพิ่มผลกำไร ให้กับธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน S (Social) เริ่มต้นที่ คน การให้ความสำคัญกับคน คือการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนทั้งในด้านขีดความสามารถขององค์กรและชื่อเสียงของแบรนด์ การลงทุนในการดูแลและพัฒนาทักษะพนักงาน ไม่เพียงแต่ช่วยลดอัตราการลาออก แต่ยังเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น GenAI นอกจากนี้ การบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนยังเป็นเกราะป้องกันความขัดแย้ง และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์อย่างยั่งยืน
สุดท้ายคือ G (Governance) หรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี คือหัวใจของการบริหารความเสี่ยงและการบริหารธุรกิจ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกฎระเบียบ แต่เป็นรากฐานที่สร้าง ความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดทั้งนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ เมื่อองค์กรมีระบบการจัดการที่ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ย่อมสร้างความมั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจมีทิศทางที่ถูกต้องและสร้างความเชื่อมั่นมาสู่กิจการ
จะเห็นได้ว่า ในการทำ ESG ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาลหรือรอให้ทุกอย่างพร้อม แต่หัวใจคือการเปลี่ยนมายด์เซ็ต (Mindset) ของผู้ประกอบการ โดยเริ่มจากการมองหา “จุดที่มีความเสี่ยง” ของธุรกิจคุณ แล้วลงมือปิดความเสี่ยงและหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงนั้น
ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนค่าไฟที่สูงเพียงแค่ปรับมาใช้โซลาร์เซลล์ ลดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนวัตถุดิบ หรือการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพ การนำหลักคิด ESG เข้าไปจัดการปัญหาเหล่านั้น คือก้าวแรกที่ทำได้ทันที เพราะในโลกธุรกิจยุคต่อไป "การเริ่มต้นด้านความยั่งยืนได้เร็วกว่า คือความได้เปรียบที่สำคัญที่สุด"
สามารถติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจ SMEs ได้ที่ https://www.ais.th/infinite-smes
© 2025 Advanced Info Service PLC. All rights reserved.