จริงหรือไม่ Fast Charger ยิ่งชาร์จไว แบตยิ่งเสื่อม

“ให้รอเธอนานแค่ไหนก็รอได้”
“แต่ให้รอชาร์จแบตเป็นชั่วโมง ผมรอไม่ไหวจริง ๆ ครับ”

เพราะในยุคปัจจุบันนี้ เรามีเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามาเพื่อเซฟเวลา ในการชาร์จแบตเตอรี่อย่าง ‘Fast Charge หรือ ระบบชาร์จเร็ว’ ซึ่งหลายคนก็คงคุ้นเคยกันดีใช่ไหมล่ะครับ จากเดิมที่เราต้องรอชาร์จกันเป็นชั่วโมง ก็ลดเวลาเหลือเพียงไม่กี่นาที

แถมในปัจจุบันเราก็หาซื้ออุปกรณ์ฟาสต์ชาร์จกันง่ายขึ้น เพราะมักจะถูกติดตั้งมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น USB Charger, Adapter Charger รวมถึงแบตเตอรี่สำรอง ทำให้ผู้ใช้ได้ทั้งความสะดวกและประหยัดเวลา เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้า Fast Charge กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเลยทีเดียวครับ

...แต่ในอีกมุมหนึ่ง ระบบ Fast Charge กลับกลายเป็นกับดักของสมาร์ทโฟน ที่จะค่อย ๆ ทำลาย และลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ


ว่าแต่...ทำไม Fast Charge ถึงทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้นะ?

ก็เพราะว่าในระหว่างที่ชาร์จแบตเตอรี่นั้น ระบบชาร์จเร็วจะมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่แบต ด้วยการเพิ่มแรงดันไฟฟ้า (V) และกระแสไฟฟ้า (I) มากขึ้น ทำให้สมาร์ทโฟนมีความร้อนสูงกว่าปกติ รวมทั้งเทคโนโลยีชาร์จเร็วก็ไม่ได้เหมาะกับสมาร์ทโฟนทุกเครื่องด้วยนะครับ


และอีกหนึ่งข้อที่พวกเราควรรู้ คือทั้งอุปกรณ์ชาร์จเร็วและแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟน จำเป็นต้องมีมาตรฐานเดียวกันเท่านั้น ถึงจะสามารถเริ่มชาร์จด้วยความเร็วสูงได้ครับ แต่ถ้าหากทั้งสองอุปกรณ์ของคุณ มีมาตรฐานที่ไม่ตรงกัน ก็จะมีการจ่ายไฟขั้นต่ำสุดเหมือนการชาร์จแบตเตอรี่แบบทั่วไปแทน เรียกว่าทำให้แบตของเราทำงานหนักโดยเปล่าประโยชน์เลยล่ะครับ


นอกจากนี้ ยังได้มีการทดสอบ ‘Fast Charge ทำให้ให้แบตเสื่อมจริงไหม?’ โดยมีผลการทดสอบออกมาแล้วครับ ว่าเมื่อเราใช้กำลังไฟ 40W จากระบบชาร์จเร็ว แบตเตอรี่ของเราจะมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงเหลือเพียง 70% เท่านั้น ในขณะที่หากเราใช้กำลังไฟเพียง 15W จากระบบชาร์จปกติ แบตเตอรี่จะมีประสิทธิภาพการทำงานสูงถึง 90% เลยทีเดียว และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานน้อยลง หรือเรียกว่าแบตเสื่อมไวขึ้นนั่นเองครับ

อยากใช้ Fast Charge ให้ปลอดภัย ต้องทำยังไง?

ในทางที่ดี ผมขอแนะนำว่าให้ใช้อุปกรณ์สายชาร์จ และอะแดปเตอร์ที่ได้มาตรฐาน เหมาะกับ Smartphone ของเราถึงจะดีที่สุดครับ ซึ่งโดยปกติแล้วตัวอุปกรณ์เสริมที่อยู่ในกล่องตั้งแต่ตอนซื้อ ถูกผลิตมาเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีชาร์จไฟของอุปกรณ์นั้นมากที่สุด หรือหากต้องการซื้ออุปกรณ์เสริมที่มี Fast Charge ก็อย่าลืมเช็กระบบชาร์จไฟในสมาร์ทโฟนก่อนนะครับ ว่ารองรับกำลังไฟอยู่ที่เท่าไหร่ และตรงกับ Fast Charger ของเราหรือเปล่า

ระบบชาร์จเร็วนั้นถูกติดตั้งมาพร้อมกับอุปกรณ์ เพื่อให้ทั้งแบตเตอรี่ และระบบชาร์จไฟมีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันผู้พัฒนาก็ได้ผลิตระบบฟาสต์ชาร์จออกมาหลายประเภทเลยล่ะครับ อย่างเช่น

Quick Charge

ระบบชาร์จเร็วจาก Qualcomm ซึ่งสามารถชาร์จได้สูงสุดถึง 27W แต่ข้อจำกัดก็คือต้องใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซต Qualcomm Snapdragon และหัวชาร์จที่รองรับ QC เท่านั้นนะครับ


USB Power Delivery (USB-PD)

ระบบชาร์จเร็วที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องแบรนด์ในการใช้งาน เพราะเจ้าตัวนี้สามารถรองรับการใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าสมาร์ทโฟนของคุณจะเป็นของผู้ผลิตรายไหน ก็สามารถใช้ได้แน่นอนครับ ส่วนความสามารถในการจ่ายไฟก็มีตั้งแต่ 15W และสูงสุดถึง 100W เลยทีเดียว นอกจาก 2 ตัวนี้ ก็ยังมีระบบชาร์จเร็วที่ถูกพัฒนา เพื่อใช้งานกับอุปกรณ์ของแบรนด์นั้น ๆ โดยเฉพาะ เช่น

  • SuperCharge จาก HUAWEI
  • VOOC Flash Charge จาก OPPO
  • WarpCharge จาก OnePlus
  • และ Adaptive Fast Charging จาก Samsung

ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็จะมีข้อจำกัดเรื่องกำลังจ่ายไฟที่ต่างกันด้วยครับ

และอีกหนึ่งเรื่องที่เราไม่ควรพลาดก่อนตัดสินใจซื้อ “อุปกรณ์ชาร์จเร็ว (Fast Charger)” นั่นคือการเลือกซื้อสายชาร์จที่ได้มาตรฐานนะครับ เพราะหากเรายังคงใช้ Fast Charger ที่ไม่ได้การรับรองคุณภาพ ก็เป็นสาเหตุให้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ของเราลดลง และนำมาสู่ภาวะแบตเสื่อมได้เช่นเดียวกันครับ


สุดท้ายนี้ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าถ้าอยากใช้ระบบ Fast Charge ให้เป็นประโยชน์กับเรามากที่สุด ต้องอย่าลืมเช็กระบบชาร์จไฟ ทั้งแบตเตอรี่และอุปกรณ์เสริม ที่สำคัญอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องได้การรับรองมาตรฐานมาแล้วเท่านั้น ถึงจะมั่นใจได้ว่าสมาร์ทโฟนและแบตเตอรี่ของเรา จะปลอดภัยจากกับดักร้ายตัวนี้ เพื่อที่จะได้อยู่กับเรานาน ๆ ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยยังไงล่ะครับ